โรคที่เป็น NF II with recurrent multiple meningiomas > NF II ที่มีเนื้องอก มาหลายแห่งกลับมาเป็นซ้ำ

NF >> Neurofibromatosis (NF) (von Recklinghausen’s disease) หรือ โรคท้าวแสนปม
NF II >> neurofibromatosis 2 (NF-2) หรือ central NF พบได้น้อยคือ พบราว 1 ใน 50,000 ถึง 120,000 คน ชนิดนี้จะไม่มีอาการทางผิวหนัง วินิจฉัยโรคได้ โดยพบเนื้องอก ของหูชั้นใน และมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้

เพิ่มเติมที่นี่
https://sites.google.com/site/medicnote/dermatology/

ขยายความเป็นซ้ำเฉพาะ
ผึ้ง ผ่าเนื้องอกในสมอง 7-8 ครั้งแล้วใน 20 ปี ฉายรังสี มามากกว่า 30 ครั้ง ผมล่วงทั้งหมด ปัจจุบัน 15 ปี เห็นหนังศีรษะเป็นบางมุม ล็อตแรกเจอ ตอนอายุ 19 กับเนื้องอกในสมอง 4 ก้อน

ข้างล่างนี้ยาวหน่อย พยายามเน้นที่เนื้อข้ามดราม่าระหว่างทางแล้ว หรือจะข้ามไปตอนปี 4 เทอม 1 เลยก็ได้ค่ะ >>

ตั้งแต่เกิดร่างกายน่าจะไม่แข็งแรงแบบเด็กๆ เจ็บป่วยแบบนิดๆหน่อยๆ โดนกวาดคอด้วยยาไทย อย่างมากหาหมอที่คลีนิค ไม่เคยนอนโรงพยาบาลหรือเจอเข็มใดๆ นอกจากฉีดวัคซีน ตอนประถมตากแดดหน้าเสาธงก็มีหน้ามืดบ้างแต่ก็มีเด็กคนอื่นอีกในห้องพยาบาล

มัธยม 3 มีเหมือนเนื้องอกก้อนเล็กๆอยู่ตรงดั้งจมูกระหว่างตา ใต้ผิวหนัง ไม่มีอาการไร ไม่เจ็บ ไม่ปวด หมอผ่าออกตั้งแต่วันนั้นเลย ไม่มีจองคิว ใช้เวลาไม่ถึง 30 นาที เย็บแค่ 2 เข็ม มันเป็นเนื้องอกแหละ แค่มาเตือน แล้วก็ลืมไปเลย ยังบริจาคเลือดบ่อยๆ หางานทำช่วงปิดเทอม เรียนทหารรักษาดินแดนในวันอาทิตย์ด้วย ปกติสุดๆ

ข้ามมาที่ตอนเรียนมหาลัย ปี 3 เทอม 1 เริ่มมีอาการหูได้ยินเสียงหวีดเบาๆ แต่ต่อเนื่อง ช่วงเดือนเมษา 2549 ไปพบหมอที่โรงพยายาลแถวถนนเจริญกรุง เพราะใกล้บ้าน เกี่ยวกับหู คุณหมอบอกเป็นโรคประสาทหูเสื่อม เหมือคนมีอายุมากเค้าเป็นกันเยอะ ให้วิตามิน B กับยาอื่นมากิน เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน รวมวันละ 12 เม็ด ทำแบบนี้อยู่ 3 เดือน ไม่ดีขึ้นเลยมีแต่แย่ลง หูเริ่มได้ยินน้อยลง เลยเปลี่ยนโรงพยาบาลที่รักษาหูโดยเฉพาะ แถวสายใต้ มีตรวจสมรรถภาพการได้ยิน ครั้งแรกที่ได้ตรวจ ในตู้แบบนี้ แต่ก็วินิจฉัยเหมือนกันแต่ค่ายาแพงกว่ามาก มีตรวจสมรรถภาพการได้ยิน อีก เลยไปแค่ 2 ครั้ง เพราะหมอบอกไม่มีอันตรายแค่อยู่กับมันให้ได้ ถ้านอนไม่หลับให้เปิดเพลงฟัง เหมือนจะธรรมดามากๆ ก็เลยได้สนใจ

โรคที่เป็น NF II with recurrent multiple meningiomas > NF II ที่มีเนื้องอก มาหลายแห่งกลับมาเป็นซ้ำ
ปี 3 เทอม 1 ช่วงปลายๆ ชิวิตยังดีมีทางให้เลือกเยอะ มีอะไรที่อยากจะทำมากมาย

ตอนเรียนมหาลัย ปี 3 เทอม 2 ช่วงฝีกงาน ถ้าหันเร็วๆจะหน้ามืดแบบมองอะไรไม่ค่อยเห็น แต่จะแค่ 3-5 วินาที ตอนนั้นโทษการเดินทางบ้านไกลจากที่ฝึกงาน งานเยอะ แม่พาไปฟังเข็มแล้วกระตุ้นเข็มด้วยไฟฟ้าเพื่อรักษาหูและร่างกายอ่อนล้า ฝังเข็มวันเว้นวัน มา 2 เดือน จนหมอฝังเข็มบอกไม่น่าจะแค่ประสาทหูแล้วล่ะ

แม่ชวนไปคลินิกเล็กๆ ในซอยที่มีวันที่ทั่วไปกับวันที่รักษา หู คอ จมูกโดนเฉพาะ วันนั้นออกร้านฝังเข็ม เป็นวันที่เปิดรักษา หู คอ จมูก พอดี เล่าการให้ฟังแล้วบอกว่ารักษาที่ไหนยังไงไปบ้าง คุณหมอ ไม่ได้ให้ยา ส่องดูที่รูหูนิดหน่อย ไม่เก็บเงิน ดูจากภายนอกปกติ ถ้ากินยามาหลายเดือนแล้วไม่มีอะไรดีขึ้น ให้คำแนะนำว่าให้ไปโรงพยาบาลใหญ่ๆ เช่น โรงพยาบาล จุฬา รามา ศิริราช แล้วเล่าแบบที่เล่าให้เมื่อครู่นี้ ช่วงฝึกงาน ได้ประกันสังคมพอดี (รวมเวลาที่เคยทำงานที่อื่นช่วงปิดเทอม) แล้วอยากใช้สิทธิ์มาก

ได้สิทธิโรงพยายาลแถวถนนเจริญกรุง ที่เคยไปที่แรก โรงพยาบาลใหญ่ๆเต็มหมด แต่แม่บอกให้ไปโรงพยาบาลใหญ่ๆ แล้วจ่ายเงินดีกว่า ตามที่ได้รับคำแนะนำที่ได้จากคลินิค (แม่ไม่ได้รวย แค่พอกินพอใช้ ภาระก็เยอะ แต่ค่ารักษา มีให้ตลอด) เลยลางานแล้วไปวันรุ่งขึ้น ไปคนเดียวได้เพราะตอนนั้นยังพูดคุยรู้เรื่อง ยังพอคุยผ่านโทรศัพท์ได้อีกข้างแต่เบาๆลงมาเยอะ ไปโรงพยาบาลรามาเป็นที่แรก แต่ไม่ได้คิว ไปต่อที่โรงพยาบาทพระมงกุฎ ในวันเดียวกันได้คิวพอดี เข้าตรวจ เล่าทุกอย่างว่ามีอาการมาเป็นปีแล้ว หาหมอได้ยามากิน และตรวจความได้ยินแล้ว ทั้งอาการหน้ามืดที่บ่อยขึ้น และความได้ยินที่ลดลง คุณหมอส่งไปส่องหูอีกที แล้วนัดมา ตรวจคลื่นการได้ยิน ที่ไม่ใช่ตู้เหมือนที่เคย เป็นการนอนแล้วมีเจลเหลวกับกาวแป๊ะที่บริเวณศรีษะ นัดมาฟังผลอีกที่ อาทิตย์ต่อมาผลที่แจ้งเสียงเดินทางไม่ปกติ หมอนัด MRI กว่าจะได้คิวหลายเดือนอยู่ แต่โทรไปยกเลิก กลัวผลไม่ใช่อย่างที่คิดและไม่ได้บอกแม่ พยายามเชื่อโรงพยาบาลแรก ว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก **ทำผิดอย่างมากเลยค่ะ (TT___TT)

ตอนปี 4 เทอม 1 นอกจากหน้ามืดบ่อยขึ้น หูเริ่มมีปัญหาหนักทั้ง 2 ข้าง ซ้ายได้ยินน้อยลงเล็กน้อยแต่ฟังไม่รู้เรื่องเลย ขวาฟังพอรู้เรื่องหากใช้โทรศัพท์ ต้องฟังจากข้างนี้แต่เบามากๆ แม่เลยให้ไปใส่เครื่องช่วยฟัง คราวนี้ไปที่โรงพยายาลแถวถนนเจริญกรุงกับแม่ หมอหูที่เคยไปหามาแล้วหลายครั้ง โรงพยาบาลนี้ไม่มีตู้ตรวจการได้ยิน เลยสั่ง ตรวจการได้ยินเป็นครั้งแรก  ที่โรงพยาบาลแถวตลาดคลองสาน ส่งผลตรวจมาพร้อม เครื่องช่วยฟังเลยทดสอบแบบมั่วๆ ให้จบๆ กันไป แน่นอว่าเสียเงินค่าเครื่อง ไปเปล่าๆ แล้วเอาผลการได้ยินกลับมาหาหมอคนเดิม แต่ได้แจ้งอาการเพิ่มเติม แม้จะใส่เครื่องช่วยฟัง ซึ่งยังสามารถใช้ได้ข้างนึง ดังมากแต่ยังไม่รู้เรื่อง แน่นอนว่ายังต้องปรับตัว แต่แม่ที่ไปด้วยเป็นคนบอกว่าไม่น่าจะใช่แค่เรื่องหูที่เสื่อมเองแล้ว เพราะแทบยืนไม่อยู่เลย หมอหู เลยสั่งทำ CT scan ที่ต้องรอเกือบเดือนกว่าจะได้คิว หมอหูเห็นเนื้องอกจางๆ ตรงเส้นประสาทหูทั้งสองข้าง เลยส่งฝ่ายศัลยกรรมประสาท

….* ที่ผ่านมาปีกว่าเดินผิดทางและกินยาไปเยอะมากโดยไม่จำเป็น สำหรับเนื้องอกที่ผึ้งเป็น 15 ปีแรก กินยาแค่ช่วงหลังผ่าตัดแต่ละครั้ง ไม่เกิน 1 เดือน (หลัง 15 ปีแรก กินยากันชักมาตลอด เพราะเคยนอนดิ้นแล้วไปตื่นที่ห้องฉุกเฉิน)

ชั้นบนที่ฝ่ายศัลยกรรมประสาทโรงพยายาลแถวถนนเจริญกรุง ดูฟิล์ม CT Scan ผ่านๆ “มะเร็งหรือเปล่าก็ไม่รู้ เห็น 2 ก้อนเลย เดี๋ยวส่งไปทำ MRI จะให้เห็นชัดๆ” โรงพยาบาลไม่มีเครื่อง เลยส่งไปทำที่อื่น แล้วค่อยเอาผลมาอีกที แม่ไม่ให้รักษาที่โรงพยาบาลนี้อีกเลยแม้จะสามารถใช้ประกันสังคมได้ (หลังจากนั้น ไม่ถึง 1 เดือน มาขอส่งตัว มีจม. ขอส่งสิทธิผู้ป่วยจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มารักษา หมอก็บอกเนื้องอกแค่นี้เค้าผ่าได้)

มาเริ่มใหม่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

เริ่มใหม่ พร้อมผล MRI ทำนัดพบหมอด้านลยกรรมประสาท คุณหมอ ชื่อ น.พ. ช่อเพียว เตโชฬาร เป็นผู้เชี่ยวชาญ คิวนัดพบเร็วที่สุดคือ 6 เดือน แต่ทราบว่าคุณหมอทำงาน ที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียนด้วย เลยนัดพบหมอ ได้เจอคืนนั้นเลยเวลาเกือบตี 2 (ที่ทราบเพราะคุณพ่อเคยผ่าตัดเส้นเลือดในสมองแตก ที่โรงพยาบาลนี้ทั้งที่เป็นตำรวจ ไม่ต้องจ่ายค่าผ่าตัดที่โรงพยาบาลของรัฐ ทำเงินเก็บหมดไปมากกว่าครึ่ง) คุณหมออายุมากแล้วแต่ยังดูว่องไว สดใส เหมือนเป็นหมอห้องฉุกเฉินของโรงพลายบาลด้วยอีกต่างหาก คุณหมอดูฟิล์ม บอกมี 4 ก้อนเลย แต่เป็นเนื้องอกธรรมดา หมอเคยผ่ามาเยอะ แค่นี้จิ๊บๆ ทำมือด้วย (คำฮิต ตอนนั้น โฆษณาวีโก้) เป็นการรู้ผล จาก 2 ก้อน เป็น 4 ก้อน ที่ดูเบาลงมาก แม่เลยยากผ่าที่โรงพยาบาลนี้เลย แต่ค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 5 แสน ต่อครั้ง และต้องเอาก้อนใหญ่ออกก่อน คุณหมอเลยแนะนำให้ผ่าที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

มาทำนัดใหม่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์  ฝ่ายจองคิว ตึก ภปร ชั้น 6 พร้อมกระดาษแผ่นเล็กๆ มีข้อความพร้อมลายเซ็น >>ทำคิวนัดให้ที ขอด่วน << ผึ้ง เลยได้คิวพบ คุณหมอ ช่อเพียวใน สัปดาห์ต่อมา และนัดคิวผ่าตัดตอนปิดเทอมพอดี แต่ก็โดนเลื่อนไปเกือบ 2 เดือน เพราะมีคนป่วยที่ต้องรีบผ่าก่อน ร้อนใจมากจนอยากผ่าที่โรงพยาบาลแรกแถวถนนเจริญกรุง จากแต่แม่ห้ามไว้

จนตอนปี 4 เทอม 2 ได้เข้าเรียนแค่ เดือนแรก เพราะต้องผ่าตัด และพักรักษาตัว แต่อาจารย์เช็คชื่อให้เข้าเรียนตลอด  เพราะเป็นนักศึกษาน่ารัก ทำตามระเบียบ เข้าเรียนตลอด ส่งงานไม่ขาด และเหตุผลน่าเห็นใจ แต่จะเรียนจบพร้อมเพื่อนต้องมาสอบ >> ผึ้งต้องหัดเดินก่อนมาสอบ ผ่านทุกวิชาด้วย เพราะไม่อยากเรียนใหม่ อย่างที่ฝ่ายธุรการแนะนำ

การผ่าตัดง่ายหรือ? ไม่เลย

การผ่าตัดครั้งแรกต้องเอาก้อนที่ใหญ่ที่สุดออกก่อน เลือกที่จะเก็บเส้นประสาทที่ยังพอใช้งานได้ไม่ทันแล้ว จำวันที่ผ่าครั้งแรกได้แบบไม่ต้องจด เพราะหนักมาก แถมได้กินเค้กวันเกิดอีก ได้คิวไปเตรียมตัวที่โรงพยาบาล (จองเตียง) วันศุกร์ ที่19 ผ่าตัด วันที่ 20 มกรา 2550 ออกจากโรงพลาบาล 10 กุมภาพันธ์ (อายุ 20 ปีบริบูรณ์ นางฟ้ามาเกิด เมื่อวันที่ 5 กุมภา)

หลังผ่าอาการหนักมาก หลังจากหลับไปตื่นขึ้นมาก็ผ่าเสร็จแล้ว ตื่นขึ้นมา อยู่ในห้อง ICU ประมาณ 24 ชม.แค่กำมือก็เจ็บไปถึงปลายเท้าเลย แผลที่ผ่าไม่ต้องพูดถึง ท่อที่ต่อจากคอออกจากปากทรมานมากๆ ทีมแพทย์ที่ผ่าไม่เข้าวันอาทิตย์อีก แต่พยาบาลเยอะเลยเปลี่ยนสายให้บ่อยลดการระคายคอไปนิดหน่อย คอยมาดูทุกการขยับ มีผูกผ้าที่ข้อมือทั้งสองข้างติดไว้กับเตียงด้วย เอาท่อออกก็เช้าวันจันทร์ ให้แม่ซื้อปีโป้มาให้กิน (อาการแรกลิ้นไม่รู้รสฝั่งที่ผ่า) ไม่รู้ตัว ไม่ได้กินมาเกือบ 3 วัน ทุกอย่างอร่อย หน้าหยิ่งไปแล้วข้างนึงไม่สนใจ หูหนวกเลยข้างนึง อีกข้างฟังไม่รู้เรื่องช่างมัน สกิลการอ่านปากมาแล้ว (ยังดีที่หูไม่หนวกแต่เกิดก็ดีแล้วไม่งั้นเป็นใบ้ด้วย)

เมื่อหลังกลับมาอยู่ห้องธรรมมดาก็อยู่ห้องเดียวกับผู้ป่วยหนัก มีอาการผิดปกติเกิดขึ้นหลายย่างเลยค่ะ เวียนหัวหนักมากทุกครั้งที่หลับตาเหมือนอยู่บนเครื่องเล่นจานบินหมุนแนวนอน (จะหลับต้องจับกำแพงไว้แล้วเครื่องเล่นจะหยุด) ฝันดี ฝันร้าย ฝันเรื่อยเปื่อย กึ่งหลับกึ่งตื่นตลอด มีน้ำใสๆไหลออกจากจมูก มีการเจาะน้ำที่ไขสันหลังไปตรวจก็ไม่มีอะไรผิดปกติ คุณหมอบอกน้ำในกระโหลกที่สมองถ้าไม่มีอะไรจะแห้งเองใน 3 วัน มีทีมแพทย์นักศึกษา มาดูอย่างอบอุ่น ตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 2 ทุ่ม ระหว่างนี้ 3 วัน กลายเป็น ต่อถุง ระบายน้ำ นอนติดเตียวตลอด 10-14 วัน แม้แต่ตอนกิน เรื่องขับถ่าย อาบน้ำก็ต้องนอนอย่างนี้ TT_________TT

สรุปต้องผ่าซ่อมเบาๆ ที่หลังหู ระบายน้ำออกที่ใต้สะดือ (นั่งกินได้เลยหลังผ่าซ่อม ในห้อง CCU) เช้าวันถัดมา ก็ได้กลับมาอยู่ห้องผู้ป่วยหนัก ได้เห็นเตียงอื่นเป็นครั้งแรก อาการเรามันนิดเดียวแถมได้เตรียมตัวตั้งนาน คืนนั้นเวลาประมาณ 4 ทุ่ม พยาบาลบอก ย้ายห้องนะ ถามเดินได้มั้ย ผึ้งรีบบอกว่า “ได้ค่ะ” คิดในใจมีเดินไม่ได้ด้วยหรอ พอเท้าลงพื้นนี่รู้เลย ไฟช็อตเบาๆ ที่ฝ่าเท้ามาถึงน่อง เวลาผ่านไป 5 วิ เดินตามไป ไม่มีปัญหา

กลับมาห้องแรกที่เคยอยู่ก่อนผ่า แต่มีเตียงว่างเลือกได้ด้วย วันต่อมามีส่องกล้องทางจมูก ไปที่คอลงไปถึงกระเพาะ ดูว่ามีแผลอะไรอีกมั้ย คืนนั้นได้เจอ คุณหมอช่อเพียวครั้งแรก หลังจากทำนัดที่ตึก ภปร. ชั้น6 หลายเดือนก่อน (คุณหมอพูดกับทีมนศ. หลายอย่างเข้าใจประโยคนี้ เนื้องอกก้อนนี้มีรากด้วย ไม่ค่อยเจอหรอก) แล้วมาบอกผึ้งเบาๆ พรุ่งนี้กลับบ้านได้แล้วนะ


คุ้มเวอร์จ่ายค่าผ่าตัดก้อนนี้ไปแสนกว่าบาท มีเวลาพักที่บ้าน พร้อมหัดเดิน ใน 2 สัปดาห์ แล้วขึ้นไปห้องสอบที่อยู่ชั้น 5 ได้เลย ได้รับปริญญาพร้อมเพื่อน กับหน้าสวยฟ้าประทานด้านที่ต้องเข้ากล้องพอดี

เก็บตก เคยบ่นกับหมอนักศึกษาครั้งนึงในห้องตรวจ
ผึ้ง “เนื้องอกที่เหลือ ไม่ปวด ไม่หน้ามืด ไม่มีอาการอะไรเลย ไม่ต้องผ่าได้มั้ยคะ”
หมอนักศึกษา “ไม่มีอาการก็ดีแล้ว #@$%#$*^$&^&$^@#$ เอาออกเลยดีกว่า”
ผึ้ง “ค่ะ”
ตรวจวันอื่น มีหมอนักศึกษาทีมที่ผ่าบอก มีประวัติการผ่าตัดที่นี่แล้วครั้งต่อไปน่าจะขอสิทธิส่งตัวง่ายขึ้น
ผึ้ง “ค่ะ” คิดในใจ ไม่มีทาง
แล้วการผ่าตัดก็ยาวไป ทุกปี แต่เบาลงทุกครั้ง
ล็อตแรก 4 ก้อน ผ่า 3 ครั้งใช้ครบทั้ง 3 สิทธิ จ่ายเอง >> บัตรทอง >> ประกันสังคม ทุกการดูแลไม่ต่างกันที่ตึกเก่า ธนาคารกรุงเทพ ตึกเตี้ยๆ แสงสลัวน่ากลัวทีเดียว *ตอนนี้ทุกสิทธิการรักษาย้ายไปพักที่ตึกใหม่ วิวสวย สว่างสดใส แต่ก็ไม่อยากนอนยู่ดี

ครั้งแรก อยู่โรงพระยาบาล 21 วันเอาออก 1 ก้อน ตรงเส้นประสาทที่หูด้านขวา เล่ารายละเอียดที่จำได้ ด้านบนค่ะ

ครั้งที่ 2 อยู่โรงพระยาบาล 9 วันเอาออก 1 ก้อน ตรงเส้นประสาทที่หูด้านซ้าย *หลังผ่าก้อนแรก มีเพื่อนร่วนชะตาที่ Thaibraintumor.com เวอร์ชั่นแรกแล้วค่ะ เมื่ออ่านเรื่องของคนอื่นก็รู้สึกไม่ได้โชคร้ายอยู่คนเดียว และไม่ใช่คนแรกและคนสุดท้ายแน่นอน ผ่าครั้งที่ 2 เลยเบาลง

ครั้งที่ 3 อยู่โรงพระยาบาล 7 วันเอาออก 2 ก้อน เลยค่ะ ที่กลางศีรษะ ถ้าโกนผมจะเห็น ตัวเอส 2 ตัว น่าจะเพื่อความงาม เพราะอยู่กลางถ้าผ่าตรงๆ ผมคงปิดไม่มิด และน่ากลัวไปอีกระดับ *อันนี้คิดเอาเอง เพราะน่าจะผ่ายากกว่าด้วย

พร้อมซ่อมหนังตาในอีกหลายเดือนต่อมา เพราะตาปิดไม่สนิทโดยใช้เส้นประสาทที่ลิ้น มีแผลยาวคืบนึงที่กราม มองไม่ค่อยเห็นรอย ที่รู้สึกว่าว่ามีเมื่อจับ ประมาณ 1-2 ปี ก็หายรอยไม่เจอแล้ว

ทั้งหมดนี้โดย ทีมคุณหมอ ช่อเพียว เตโชฬาร ก่อนเกรีษณจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กราบบบ

ปล.ผึ้งเปลี่ยนสิทธิการ จากประกันสังคม มาใช้บัตรทอง ซึ่งโรงยาบาลแรกแถวถนนเจริญกรุงนี้ก็มีรับได้อีก แต่ขอเปลี่ยนโรงพยาบาลด้วยเลยดีกว่า มาที่โรงพยาบาลมเหสักข์ (ปี 2566 เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น โรงพยาบาล ไอเอ็มเอช สีลม) เป็นโรงพยาบาลขนาดเล็กคุณหมอศัลยกรรมประสาทตอนนั้นมาแค่ช่วงเย็น สัปดาห์ละ 1 วัน คุณหมอใจดีค่ะ เอาฟิมล์ก่อนผ่าครั้งแรกไปให้ดู คุณหมอเลยส่ง MRI ใหม่ แล้วกลับมาให้ดูอีกครั้ง คุณหมอประจำอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช จะส่งตัวไปผ่าที่นั่นด้วยเลย แต่ผึ้งขอมาผ่าที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้มั้ย บอกเคยผ่ามาแล้วประวัติการรักษาเยอะ ชอบพี่ๆพยาบาลที่นั่น ใกล้บ้านด้วย เดินทางสะดวก บลาๆๆ
คุณหมอ “ได้เลย” พร้อม แนะนำให้กายภาพหน้าด้วยตัวเอง รักเลยโรงพยาบาลนี้ บัตรทองก็ได้ ประกันสังคมก็รับ เจอกันช้าไปนิดหน่อย

จบ ล็อตแรก ด้วยความหวั่นไหว
แต่ไม่แสดงออก มีนัด MRI ทุก 6 เดือน *6 เดือน ต่อมาก็เห็น ล็อต 2 แล้วแต่เล็กมากไม่ต้องทำอะไร MRI ทุก 6 เดือน แล้ว งานเข้าจนได้ตอนครบ 2 ปี


0 Comments

ใส่ความเห็น

Avatar placeholder

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *